ลิปมีกี่ประเภท ข้อควรรู้ก่อนเริ่มสร้างแบรนด์ลิปสติก

ทำแบรนด์ลิปสติก
ลิปสติกมีกี่ประเภท

ลิปสติกนับเป็นหนึ่งในเครื่องสำอางที่หลายคนพกติดไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา จึงไม่แปลกใจที่คนยุคใหม่จะเกิดความสนใจในการสร้างแบรนด์ โดยมองไอเท็มนี้เป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ แต่สำหรับบางคนอาจเกิดความสงสัยว่าปัจจุบันลิปมีกี่ประเภท? มีส่วนผสมอะไร? และเหมาะกับใครบ้าง? 

ในบทความนี้ Pure Derima Laboratories (PDL) จึงได้รวบรวมประเภทลิปสติกมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คุณเลือกลิปสติกที่ตรงตามความต้องการสำหรับสร้างแบรนด์ตัวเองก่อนตัดสินใจเลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางในขั้นถัดไป

ลิปมีกี่ประเภท? ทำความรู้จักเนื้อลิปสติกแต่ละประเภท

 ปัจจุบันลิปมีหลากหลายชนิดให้คุณเลือก โดยแต่ละชนิดต่างมีเนื้อสัมผัส, ความติดทน, ส่วนผสม รวมถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วลิปสติกสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้ 

ลิปสติกเนื้อแมท

ลิปเนื้อแมท

ลิปเนื้อแมท (Matte lipstick) คือ ประเภทแรก ๆ ที่ใครหลายคนต่างก็รู้จัก ด้วยเนื้อสัมผัสแมทหรือด้านไปกับริมฝีปาก ไม่มีความมันวาว จึงทำให้ลิปสติกเนื้อนี้มอบเม็ดสีบนริมฝีปากได้ชัดเจน อีกทั้งยังมีความติดทนสูง แต่ลิปสติกเนื้อแมทอาจทำให้ริมฝีปากแห้ง และเนื้อลิปตกร่องระหว่างวันได้ จึงควรบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้นด้วยการสครับปากหรือทาลิปมันก่อนทาลิปสติกเนื้อแมท 

ลิปสติกเนื้อออย

ลิปสติกเนื้อออย

ลิปสติกประเภทเนื้อออย (Oil Lipstick) เป็นลิปสติกที่มีส่วนผสมจากออยเป็นหลักคล้ายกับลิปกลอส โดยส่วนใหญ่มักเป็นส่วนผสมจากน้ำมันโจโจบา (Jojoba Oil) น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) หรือโรสฮิป (Rose Hips) เป็นต้น ซึ่งช่วยมอบริมฝีปากฉ่ำวาวและชุ่มชื้นยาวนาน นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของวิตามินบำรุงผิวส่งผลให้ริมฝีปากเนียนนุ่มและมอบสุขภาพปากที่ดี

ลิปสติกเนื้อกลอส

ลิปสติกเนื้อกลอส

ลิปเนื้อกลอส (Glossy Lipstick) ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทลิปสติกที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากเป็นอย่างดี เพราะมีเนื้อสัมผัสบางและเหลวกว่าลิปประเภทอื่น ๆ และสำหรับใครที่สงสัยว่าลิปแมทกับลิปกลอสต่างกันยังไง? ทั้ง 2 ลิปสติกมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยลิปแมทจะมีเนื้อสัมผัสครีมแต่ไม่มันวาว ในขณะที่ลิปกลอสมีเนื้อสัมผัสเหลวและมีความฉ่ำวาวมากกว่า

ลิปสติกเนื้อทินท์ 

ลิปเนื้อทินท์

ลิปเนื้อทินท์ (Tint Lipstick) เป็นประเภทสุดท้ายที่ให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากได้ดีเช่นเดียวกับลิปเนื้อกลอส แต่มีความฉ่ำวาวน้อยกว่า โดยหลังทาเนื้อลิปจะค่อย ๆ ซึมเนียนไปริมฝีปากทันที จึงนิยมใช้ทาริมฝีปากด้านในก่อนทาทับด้วยลิปกลอส ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ริมฝีปากมีสีสันสดใสและติดทนยาวนานนั่นเอง

สารสกัดยอดนิยมสำหรับใช้ผลิตลิปสติกที่มีคุณภาพ

ลิปมีกี่ประเภท

หลังจากทราบแล้วว่าลิปมีกี่ประเภท อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การพิจารณาสารสกัดสำหรับผลิตลิปสติก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโรงงานผลิตลิปสติกจะสามารถผลิตสินค้าออกมาอย่างมีคุณภาพและปลอดภัยกับผู้บริโภค โดยสารสกัดยอดนิยมมีดังต่อไปนี้ 

  • น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba Oil) สารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากให้มีสุขภาพดี ลดเลือนริ้วรอย 
  • น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) สารสกัดจากเม็ดแอลมอนด์ที่มีวิตามินมากมาย เช่น วิตามิน A วิตามิน B1 ที่ช่วยบำรุงริมฝีปากและบรรเทาอาการระคายเคืองเป็นอย่างดี
  • เชีย บัตเตอร์ (Shea Butter) อุดมไปด้วยวิตามิน A และ วิตามิน E ที่ช่วยฟื้นฟูริมฝีปากให้เนียนนุ่ม พร้อมผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เกือบทุกประเภทของลิปมันมักประกอบด้วยสารสกัดชนิดนี้
  • ขี้ผึ้ง (Beewax) ส่วนใหญ่ไม่ว่าลิปมีกี่ประเภทก็มักประกอบด้วยสารสกัดชนิดนี้ โดยเฉพาะลิปบาล์ม เพราะมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก 
  • วิตามิน อี (Vitamin E) สารสกัดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยปกป้องผิวบริเวณริมฝีปากจากรังสียูวี อีกทั้งยังช่วยลดความหมองคล้ำให้ริมฝีปากดูสดใสอย่างธรรมชาติ 

เลือกผลิตลิปสติกกับโรงงานที่น่าเชื่อถือจาก PDL 

สรุปแล้วลิปมีกี่ประเภทนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเภทด้วยกัน โดยพิจารณาจากเนื้อสัมผัส ส่วนผสม ความติดทน และรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกหลากหลาย หากเป็นลิปเนื้อเข้มข้นให้เม็ดสีชัดเจนอย่างลิปเนื้อแมท หรือลิปเนื้อกำมะหยี่จะติดทนค่อนข้างนานกว่าลิปเนื้อเหลว สัมผัสบาง ซึ่งเน้นให้ความชุ่มชื้น ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า 

หากใครกำลังมองหาโรงงานสำหรับผลิตลิปสติก หรือโรงงาน OEM ที่มีมาตรฐานเพื่อสร้างแบรนด์ตัวเอง Pure Derima Laboratories โรงงานรับผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามแบบครบวงจร เราพร้อมให้คำแนะนำการคิดค้นสูตรเฉพาะของตนเอง และคำปรึกษาในทุกขั้นตอนการผลิต ตลอดจนให้บริการขึ้นทะเบียนเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของคุณเอง 

สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านช่องทางดังต่อไปนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *