ผลิตครีมกันแดดต้องใช้ SPF เท่าไหร่ถึงจะดี

UVA UVB ต้องใช้ SPF เท่าไหร่ ถึงเหมาะสมกับการผลิตครีมกันแดด

รู้หรือไม่ ? รังสี UVA UVB ต้องใช้ SPF เท่าไหร่ ถึงเหมาะสมในการผลิตครีมกันแดด

อยากทำแบรนด์ครีมกันแดดแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? คำถามที่หลายคนสงสัยคงหนีไม่พ้นเรื่อง SPF นี่แหละว่าควรใช้เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม? จะเลือกค่า PA ยังไงให้ตรงใจลูกค้า? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเรื่อง SPF และรังสี UVA และรังสี UVB ให้กระจ่าง พร้อมแชร์เคล็ดลับดี ๆ ที่ผู้ผลิตครีมกันแดดควรรู้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

แสงแดด และรังสี UV ส่งผลอย่างไรต่อผิวหนัง

ในแสงแดด หรือรังสี UV ที่เราพบได้ทุกวันนั้น ไม่ได้มีเพียงแสงที่เรามองเห็นเท่านั้น แต่ยังมีแสงหลายรูปแบบที่พร้อมจะทำร้ายผิว และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็สามารถพบแสงหรือรังสีที่อันตรายต่อผิวได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น รังสี UV จากแสงแดด แสงอินฟราเรด หรือแสงสีฟ้าดังนี้ 

แสงอินฟราเรด (infrared)

แสงอินฟราเรด เป็นแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ให้ความร้อนได้ มีปริมาณ 50% ของแสงแดดทั้งหมด สามารถกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระได้ ซึ่งส่งผลให้คอลลาเจนสลายตัวได้ไว ผิวจึงแก่ก่อนวัย แต่ต้องใช้ในปริมาณที่มากถึงจะเป็นอันตรายต่อผิว เนื่องจากเป็นแสงที่มีพลังงานต่ำ

รังสียูวี (UV) 

รังสี UV คืออะไร หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักชื่อ รังสี UV แต่อาจจะไม่รู้ว่า ที่จริงแล้ว รังสี UV คือ รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) หรือที่เรารู้จักกันว่า “แสงแดด” เป็นแสงที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือ Invisible light มีพลังงานสูง แม้ได้รับเพียงเล็กน้อยก็เป็นอันตรายต่อผิวได้ โดยรังสียูวีนั้นจะทำให้คอลลาเจนใต้ผิวเสื่อมสภาพ ทั้งรังสี UV ยังทำให้เกิดสารอนูมุลอิสระได้สูง หากได้รับความเข้มข้นสูง รังสี UV อาจจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ 

แสงสีฟ้า (Blue Light or HEVIS light) 

เป็นอีกหนึ่งแสงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เยอะไม่แพ้กับรังสี UV ซึ่งแสงสีฟ้านั้น เกิดจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค หรือแสงแดด โดยจะทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดจุดด่างดำ ฝ้ากระ และสลายคอลลาเจนใต้ผิวชั้นลึก ทำให้ผิวเหี่ยว และสีผิวไม่สม่ำเสมอได้ ซึ่งแสงสีฟ้าแม้จะไม่ได้อันตรายต่อผิวเท่ากับรังสี UV แต่ก็มีความอันตรายต่อดวงตา และสุขภาพได้

รังสี UV มีกี่ประเภท ? 

รังสียูวีเอ (UVA)

รังสี UVA คือ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A เป็นคลื่นแสงที่พบได้มากในช่วงกลางวันที่มีแดดจัด ซึ่งมีความยาวรังสีสูงถึง 300-400 nm มีความเข้มข้นสูง จึงเป็นรังสีที่สามารถเข้าถึงเซลล์ผิวหนังมนุษย์ได้ลึก รังสี UVA ยังสามารถทะลุผ่านตัวกลางต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น เสื้อผ้า ร่ม ตึก อาคาร หากได้รับรังสี UVA มากเกินไปจะทำลายคอลลาเจนใต้ผิว เกิดสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดรอยเหี่ยวย่น หมองคล้ำ รวมถึงทำให้เกิดฝ้าแดด กระ และจุดด่างดำ ก่อนวัยอันควร

รังสียูวีบี (UVB)

รังสี UVB คือ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด B เป็นคลื่นแสงที่มีอัตราเข้าถึงชั้นผิวน้อยกว่ารังสี UVA โดยจะมีความยาวรังสีอยู่ที่ 290-320 nm แต่ UVB นั้นสามารถปรับสภาพผิวหนังชั้นนอก หรือผิวชั้นกำพร้าให้เกิดอันตรายได้ เช่น ภาวะแดดไหม้ ผิวเกรียมจากแดด และหากได้รับรังสี UVB นี้อย่างยาวนาน อาจจะก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งเป็นรังสี UV ที่อันตราย

รังสียูวีซี (UVC)

รังสี UVC เป็นรังสีอัลตราไวโอเลตที่คนไม่ค่อยพูดถึง เนื่องจากมีช่วงความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด คือ 100 – 280 nm โดย รังสี UVC สามารถทำลายเชื้อโรคภายในอากาศ พื้นผิว และพื้นน้ำ ที่อาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ยีสต์ เป็นต้น นอกจากนี้ รังสี UVC ยังมีอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิด ผิวแดงไหม้เกรียม เยื่อบุตาอักเสบ ในปัจจุบันยังมีการนำรังสี UVC มาพัฒนาเพื่อใช้ในการกำจัดเชื้อโรคได้อีกด้วย

 

รังสี UVA และ รังสี UVB แตกต่างกันอย่างไร

รังสีอัลตราไวโอเลต ที่เรามักจะรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ รังสี UVA และ รังสี UVB ที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย และผิวโดยตรง ซึ่งรังสีทั้ง 2 นี้จะทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำ ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวดูเหี่ยว และเกิดริ้วรอยก่อนวัน แต่รังสี UVA และรังสี UVB ทั้ง 2 นี้มีความแตกต่างกันไหม และสำคัญอย่างไรต่อการผลิตครีมกันแดด ไปดูกัน 

รังสี UVA 

  • รังสี UVA เป็นรังสีที่มีความยาวสูงสุด แต่รังสี UVA มีพลังงานต่ำ สามารถเข้าถึงผิวชั้นลึกได้
  • รังสี UVA เป็นรังสีที่สามารถทะลุผ่านตัวกลางได้หลายตัว เช่น อาคาร กระจก เสื้อผ้า จึงทำให้อยู่ในทุกบริเวณ
  • รังสี UVA จะทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำ ผิวเหี่ยวย่น ริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงฝ้า กระ จุดด่างดำ

รังสี UVB 

  • รังสี UVB มีพลังงานที่สูงกว่า รังสี UVA ทำให้สามารถเข้าถึงผิวหนังชั้นกำพร้าได้ 
  • รังสี UVB เป็นรังสีที่ไม่สามารถทะลุผ่านตัวกลางได้
  • รังสี UVB จะทำให้ผิวไหม้แดด เกิดเป็นรอยคล้ำดำในบางจุดที่ได้รังสีมากเกินไป รังสี UVB อาจจะส่งผลให้ DNA ใต้เซลล์ผิวหนังกำพร้า แปรสภาพกลายเป็นเซลล์มะเร็งผิวหนังได้
SPF คืออะไร
SPF คืออะไร

SPF คืออะไร ?

ทำความรู้จักกับค่า SPF ที่อยู่ในครีมกันแดด คืออะไร SPF หรือ Sun Protection Factor คือ ค่าสามารถในการป้องกันแสงแดดรังสี UVB หรือความสามารถในการป้องกันการไหม้แดดของผิว เป็นตัวกำหนดระยะเวลาที่ผิวหนังสามารถทนต่อแสง รังสี UVB  ได้หลังจากการทาครีมกันแดด โดย SPF นั้นมีหลายค่า แต่ละค่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันผิวจากรังสี UVB ดังนี้

SPF 8 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 87.5%

SPF 15 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 93.3%

SPF 20 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 95%

SPF 30 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 96.7%

SPF 40 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 97.5%

SPF 50 คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 98%

SPF 50+ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ > 98%

PA คืออะไร
PA คืออะไร

PA คืออะไร ?

ค่า PA หรือ Protection Grade for UVA คือ ค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดดรังสี UVA หรือความสามารถในการป้องกันการไหม้แดดของผิว หลังการทาครีมกันแดด โดยค่า PA จะมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ดังนี้

PA + คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้น้อย

PA ++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ปานกลาง 

PA +++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้สูงมาก

PA ++++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ความแตกต่างระหว่าง SPF และ PA ในการป้องกันรังสี UV

สำหรับผู้ที่กำลังใช้ครีมกันแดด หรือเป็นผู้ผลิตครีมกันแดดนั้น อาจจะมีความสงสัยว่า แล้ว SPF กับ PA นั้นแตกต่างกันไหม? แตกต่างกันอย่างไร ? ซึ่งทั้งตัว SPF และ PA  นั้น คือค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดดรังสี UV แต่จะป้องกันรังสี UV คนละประเภท โดย SPF จะเป็นค่าการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVB และ PA จะเป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA โดยทั้ง SPF และ PA จะมีค่าที่ช่วยวัดประสิทธิภาพ ของการป้องกันแสงที่ต่างกัน SPF จะใช้เป็นตัวเลข  และ PA จะใช้เป็นสัญลักษณ์ + 

ค่า SPF แต่ละระดับบอกอะไร ช่วยป้องกันรังสี UV ได้เท่าไหร่?

SPF 15

เป็นค่าป้องกันแสงแดดโดยสามารถจะดูดซับรังสี UVB ได้ประมาณ 93 % และสามารถปกป้องผิวจากการไหม้แดด ได้มากกว่าผิวปกติถึง 15 เท่า โดยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เหมาะสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือคนที่ทำงานในตัวอาคาร ไม่ได้ทำงานกลางแจ้งตลอดเวลา หรือออกข้างนอกนานกว่า 20 นาที ที่อาจจะไม่เจอกับรังสี UV มากนัก

SPF 30

เป็นค่าป้องกันแสงแดดโดยสามารถจะดูดซับรังสี UVB ได้ประมาณ 97 % และสามารถปกป้องผิวจากอาการไหม้แดด ได้มากกว่าผิวปกติ 30 เท่า เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ต้องออกไปทำงานข้างนอก หรือโดนแดดในช่วงเช้า ซึ่ง SPF 30 ยังนิยมนำเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หรือเครื่องสำอาง ที่นอกเหนือจากครีมกันแดดอีกด้วย

SPF 50

เป็นค่าป้องกันแสงแดดโดยสามารถจะดูดซับรังสี UVB ได้ประมาณ 98 % และสามารถปกป้องผิวจากอาการไหม้แดด ได้มากกว่าผิวปกติ 50 เท่า เป็นค่า SPF ที่มีระดับสูง ที่ได้รับความนิยมในการผลิตครีมกันแดด และมีผู้บริโภคเลือกใช้จำนวนมาก ซึ่ง SPF 50 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือต้องเจอกับรังสี UV ทั้งวัน เพราะสามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้มีประสิทธิภาพที่สุดในตอนนี้

SPF สูงกว่า 50 

ในบางครั้งเราอาจจะเคยได้ยิน หรือมีข้อสงสัยว่าแล้วถ้า SPF 50 สามารถดูดซับแสงและป้องกันผิวจากรังสี UVB ได้ถึง 98% แล้วถ้าเลือกใช้ หรือผลิตครีมกันแดดที่มี SPF ที่สูงกว่านั้น จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดจากรังสี UV เพิ่มมากขึ้นไหม ซึ่ง SPF 60 สามารถป้องกันแสงแดดโดยสามารถจะดูดซับรังสี UVB ได้ประมาณ 98.33% ซึ่งไม่ต่างจากการใช้ SPF 50 มากนัก หรือหากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากขึ้นก็ไม่สามารถป้องกันผิวจากรังสี UV ได้ถึง 100% 

นอกจากนี้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) ยังได้มีการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์กันแดด ไม่ว่าจะเป็น ครีมกันแดด เครื่องสำอาง สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของค่า SPF นั้นหากมีการใช้ค่า SPF มากกว่า 50 ให้เลือกใช้คำว่า SPF 50+ แทนโดยไม่สามารถกำหนดค่า SPF จริงได้ เนื่องจากยังไม่มีผลวิจัยการรองรับว่าสามารถป้องกันผิวจากรังสี UV ได้มากกว่า และการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ก็ถือว่าเพียงพอต่อการปกป้องผิวจากรังสี UV แล้ว

ทริคน่ารู้ก่อนเริ่มทำแบรนด์ครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสี UV

ก่อนที่จะเริ่มทำแบรนด์ครีมกันแดด มีหลาย ๆ สิ่งที่เราควรคำนึงถึง ซึ่งบางสิ่งก็อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยากจะเริ่มทำแบรนด์นั้นคิดไม่ถึง ซึ่งการที่ทำแบรนด์ครีมกันแดดป้องกันรังสี UVA และ รังสี UVB ให้ปัง ต้องรู้สิ่งเหล่านี้

  • หากต้องการทำแบรนด์ครีมกันแดดที่ป้องกันรังสี UVA และ รังสี UVB ตีตลาดในประเทศไทยนั้น ควรเลือกผลิตครีมกันแดดแบบที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป ไม่ต่ำกว่านี้ เนื่องจากบ้านเราเป็นเมืองร้อนที่มีแสงแดดที่แรง ผู้บริโภคหลายคนจึงชอบเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง
  • ครีมกันแดดป้องกันรังสี UV ที่ผลิตในปัจจุบันนั้นมีหลายเนื้อสัมผัส ควรเลือกผลิตครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวแพ้ง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด และต้องปกป้องผิวจากรังสี UV ได้จริง
  • โดยส่วนมากคนเราเลือกครีมกันแดดป้องกันผิวจากรังสี UV ที่ใช้งานง่าย เกาะผิวได้ดี ไม่หลุดง่าย การผลิตครีมกันแดดที่มีเนื้อที่ติดทน และใช้งานได้ตลอดทั้งวัน ไม่ทำให้เกิดการอุดตันระหว่างวัน ถือเป็นเนื้อครีมที่ได้รับความนิยม และตอบโจทย์กับกลุ่มคนได้หลากหลาย 
  • การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานสะดวก สามารถพกพาได้ง่าย และมีการระบุรายละเอียดการป้องกันรังสี UVA รังสี UVB และค่า SPF และ PA  ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค
อยากผลิตครีมกันแดดต้องทำยังไง
อยากผลิตครีมกันแดดต้องทำยังไง

อยากเริ่มผลิตครีมกันแดด ต้องทำยังไง?

1 . เลือกสูตรครีมกันแดดที่ต้องการ

หากต้องการผลิตครีมกันแดด สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การเลือกสูตรครีมกันแดดที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อของครีมกันแดด ค่าการป้องกันรังสี UVA และ รังสี UVB คุณสมบัติ และส่วนผสมที่โดดเด่น ที่ต้องการ จากนั้นเข้าไปปรึกษากับโรงงานที่คุณเลือก 

ที่ Pure Derima Laboratories เราเป็นโรงงานผลิตครีมกันแดด และสกินแคร์ที่มีมาตรฐาน และสามารถผลิตครีมกันแดดได้หลากหลายสูตร ไม่ว่าจะเป็นสูตรที่คุณมี หรือสูตรที่ทางเรานั้นได้คิดค้นและพัฒนามาอย่างมากมาย เพื่อเข้ากับผิวของคนไทย และสภาพอากาศ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย

2. รับใบเสนอราคาและตัวอย่างสูตร

เมื่อเลือกสูตรที่ต้องการแล้ว โรงงานจะจัดทำ ตัวอย่างสูตรครีมกันแดด เพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้และประเมินความพึงพอใจ หากพอใจกับสูตรที่ได้รับ ลูกค้าจะได้รับใบเสนอราคาสำหรับการผลิต และชำระเงินมัดจำ 50% ตามใบเสนอราคาเพื่อเป็นการยืนยันการสั่งผลิต ส่วนที่เหลือจะชำระเมื่อกระบวนการผลิตเสร็จสิ้นหรือก่อนการส่งมอบสินค้า ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างลูกค้าและโรงงาน

หลังจากชำระมัดจำ โรงงานจะดำเนินการ จดแจ้ง อย. ในนามแบรนด์ของลูกค้า กระบวนการจดแจ้งใช้เวลาประมาณ 7-14 วันทำการ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์และการตรวจสอบเอกสาร

การจดแจ้ง อย. จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถวางจำหน่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

3. เลือกบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการ

เมื่อคุณเลือกสูตรครีมกันแดดเรียบร้อยแล้วนั้น การเลือกบรรจุภัณฑ์นั้นก็มีความสำคัญในการเลือกซื้อเช่นเดียวกัน การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย สะดวก พกพาได้ง่าย ๆ นั้นมักจะได้รับความนิยม เช่น 

  • แบบหลอด เหมาะสำหรับครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมหรือเจล 
  • แบบขวดปั๊ม เหมาะสำหรับเนื้อโลชั่นหรือเซรั่ม 
  • แบบตลับหรือกระปุก เหมาะสำหรับครีมกันแดดเนื้อข้น หรือครีมที่ผสมรองพื้น ซึ่งทางลูกค้าสามารถเลือกในแบบที่ต้องการ

จากนั้นบรรจุภัณฑ์จะต้องผ่านการทดสอบความเข้ากันได้ (Compatibility Test) เพื่อดูว่าบรรจุภัณฑ์ที่เลือกนั้นสามารถเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์หรือไม่ แล้วจะถึงขั้นตอนของการออกแบบโลโก้แบรนด์ ฉลากสินค้า และกล่องสำหรับบรรจุครีมกันแดด

4. วิเคราะห์ ค่า SPF และ PA

การส่งครีมกันแดดไปวิเคราะห์ค่า SPF และ PA (Sun Protection Factor Test) เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด โดยผลการทดสอบจะแสดงค่า SPF ตั้งแต่ SPF6 จนถึง SPF50+ และ PA ตั้งแต่ + จนถึง ++++ ตามผลลัพธ์จริง ๆ ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ว่าสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB ได้หรือไม่

หลังจากการวิเคราะห์เสร็จสิ้น จะได้รับเอกสารยืนยันผลลัพธ์ยืนยันรายงานผลค่า SPF และ PA ซึ่งสามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในกระบวนการจดแจ้ง อย. และการตลาดได้ ซึ่งการส่งตรวจจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อนเลือกซื้อ

5. ชำระมัดจำส่วนที่เหลือ และส่งมอบสินค้า

หลังจากขั้นตอนเอกสาร และออกแบบบรรจุภัณฑ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนั้น ทางโรงงานก็จะทำการผลิตครีมกันแดดโดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากที่สินค้าถูกผลิตเสร็จสิ้น ลูกค้าจะต้องชำระเงินในส่วนที่เหลืออีก 50% เมื่อกระบวนการต่าง ๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อย ลูกค้าตรวจสอบสินค้าแล้วนั้น ทางโรงงานก็จะพร้อมจัดส่งสินค้าทั้งหมดให้กับลูกค้า เพื่อนำไปวางจำหน่าย

Pure Derima Laboratories
Pure Derima Laboratories

ทำไมต้องผลิตครีมกันแดดกับโรงงาน Pure Derima Laboratories

Pure Derima Laboratories เป็นบริษัทผลิตครีมกันแดดที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของแบรนด์มากมาย โดยการผลิตครีมกันแดดกับทางโรงงานของเรานั้น ลูกค้าสามารถเลือกสูตรมาตรฐานที่ทางเราพัฒนาคิดค้นขึ้นมา หรือจะเลือกใช้สูตรที่ลูกค้านั้นมีการคิดค้นขึ้นมาเองได้ ซึ่งทางเพียว เดอริมา พร้อมตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย 

โรงงานของเราดำเนินธุรกิจแบบ ODM และ OEM ครบวงจรในรูปแบบ ONE STOP SERVICE ทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ตามมาตรฐาน GMP ASEAN, ISO 9001, ISO 22716, HALAL และมีสูตรรับรองวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง มุ่งผลิตครีมกันแดดที่ปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ใช้งาน จึงทำให้มั่นใจได้เลยว่า เราจะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้แบรนด์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ และส่งออกสู่ตลาดได้อย่างเปิดกว้าง

Pure Derima Laboratories โรงงานผลิตครีมกันแดด มาตรฐานระดับสากล 

โรงงานผลิตครีมและครีมกันแดด Pure Derima Laboratories ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับแรก ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคลินิกแพทย์ผิวหนัง ศูนย์บริการความงาม สถานบริการสปา และเจ้าของแบรนด์ครีมกันแดด หรือผู้เริ่มต้นสร้างแบรนด์ นอกจากนี้เรายังมีสูตรครีมกันแดดที่มีมาตรฐาน และสามารถปรับสูตร ทำราคาครีมกันแดดให้เหมาะสมกับธุรกิจ ให้คุณได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด

คุณสมบัติของครีมกันแดดที่ดี

ครีมกันแดด ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานเหมือนกัน คือ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดรังสี UVA และ รังสี UVB แล้ว แต่ครีมกันแดดที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ นอกเหนือจากการกันแดดได้ด้วย ดังนี้

  • ครีมกันแดดที่ดี ต้องสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และรังสี UVB ที่มีส่วนทำลายผิวชั้นลึก และผิวชั้นตื้น ที่อันตรายต่อผิวโดยตรง เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนใต้ผิว ผิวเหี่ยว มีริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวไหม้ และการเกิดมะเร็งผิวหนัง
  • ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ที่ดีควรมีเนื้อที่บางเบา สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน เนื่องจากในบางคนที่มีการแต่งหน้าหากครีมกันแดดมีเนื้อที่หนักเกินไป อาจจะทำให้ผิวหน้ามัน เกิดการอุดตันผิวได้
  • ครีมกันแดดต้องสามารถเกาะผิวได้ดี เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดรังสี UVA และ รังสี UVB ได้อย่างยาวนาน ติดทน ไม่หลุดง่าย หรือสามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ เนื่องจากในประเทศไทยเป็นประเทศที่ร้อน ทำให้เหงื่อออกได้ง่าย ทั้งในบางกลุ่มที่ต้องมีการเดินทาง หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากครีมกันแดดไม่ติดทน หรือหลุดง่าย อาจจะไม่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ครีมกันแดดที่อ่อนโยนต่อผิว จะช่วยลดความเสี่ยงในการระคายเคือง การแพ้ หรือเกิดสิวอุดตัน ถึงแม้ว่าครีมกันแดดส่วนมากจะมีเนื้อครีมที่เสี่ยงต่อการอุดตันของผิว แต่การพัฒนาสูตรให้ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB มีความอ่อนโยนต่อผิวจะช่วยทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น

7 สูตรครีมกันแดดจาก Pure Derima ทางเลือกของผู้ผลิตครีมกันแดด 

โรงงานผลิตครีมกันแดด Pure Derima Laboratories เรามีนักเคมีเครื่องสำอาง ที่ทำงานร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ที่ได้คิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตรครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสี UVA และรังสี UVB เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่หลากหลาย ที่พร้อมให้คุณสามารถเลือกสูตรในการผลิตแบรนด์ตัวเองได้ ทั้งหมด 7 สูตร  ดังนี้

1. Sunscreen Cream (Soft Beige) SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดสูตรปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB เนื้อครีมละเอียด บางเบา ไม่หนักหน้า ช่วยปรับสภาพผิว สามารถใช้ร่วมกับรองพื้นก่อนแต่งหน้าได้

2. Silky Smooth Foundation Sunscreen SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดผสมรองพื้นปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB ที่ผสานคุณค่าจาก Silk Protein ทำให้เนื้อครีมมีความบางเบา เรียบเนียนไปกับผิว ช่วยลดผิวหน้าที่หมองคล้ำ พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยให้ผิวแข็งแรง สามารถใช้แทนรองพื้นก่อนแต่งหน้าได้

3. Milky Sunscreen Lotion SPF 50 PA+++

โลชั่นกันแดดเนื้อน้ำนม ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB มีเนื้อบางเบา อ่อนโยน ลดความมัน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย 

4. Matte Fluid SPF 30 PA+++

ครีมกันแดดผสมรองพื้น ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB มีเนื้อบางเบา ไม่อุดตันรูขุมขน เกลี่ยง่าย ไม่ทำให้เป็นคราบ ช่วยปรับให้ผิวดูเรียบเนียน พร้อมคุมความมัน และใช้แทนรองพื้นได้

5. Anti-pollution Sunscreen SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB พร้อมทั้งยังช่วยป้องกันผิวจากมลภาวะต่าง ๆ รวมสารสกัดจากธรรมชาติเนื้อนุ่ม สบายผิว มีความบางเบา ไม่หนักหน้า

6. Sunscreen Cream Soft Beige SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ รังสี UVB เนื้อครีมสูตรนุ่มลื่น มีความบางเบา สบายผิว  และใช้แทนรองพื้นก่อนแต่งหน้าได้ 

7. Premium Silky Smooth Sunscreen SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดสูตรพิเศษที่จะช่วยปกป้องผิวจากแสงสีฟ้า (Blue Light) รังสี UVA และ รังสี UVB ช่วยปกป้องการทำลายผิวระดับลึกได้ เนื้อครีมสีเบจ ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และเรียบเนียนมากขึ้น

สรุป

สำหรับใครที่อยากจะมีแบรนด์ครีมกันแดดเป็นของตัวเอง สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องรู้จักเลยก็คือ รังสี UVA และรังสี UVB ต้องใช้ SPFเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะสม ในการผลิตครีมกันแดด และทางเลือกสำหรับผู้ผลิตครีมกันแดดที่กำลังมองหาสูตรครีมกันแดด Pure Derima Laboratories โรงงานผลิตครีมกันแดดและสกินแคร์ของเรา ก็มีสูตรครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันรังสี UVA และ รังสี UVB ที่พัฒนามาจากผู้เชี่ยวชาญมาให้คุณได้เลือก มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัย และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน