เจาะลึกครีมกันแดดทุกประเภท ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ที่เจ้าของแบรนด์ต้องรู้ !
ในยุคปัจจุบันที่แสงแดดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิว ครีมกันแดดจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมในตลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้ตลาดครีมกันแดดมีความหลากหลายและมีการแข่งขันสูง การผลิตครีมกันแดดที่มีความแตกต่าง และมีความโดดเด่น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ บทความนี้จะพาเจ้าของแบรนด์ทุกท่าน ไปเจาะลึกถึงทุกประเภทของครีมกันแดด พร้อมอธิบายถึงข้อดี ข้อเสีย และสารสกัดที่มักนิยมใช้ในครีมกันแดดแต่ละประเภท เพื่อให้เข้าใจถึงทุกประเภทครีมกันแดด ไปปรับใช้พัฒนาสูตรครีมกันแดดที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ต่อไป
ผลิตครีมกันแดดที่ Pure Derima Laboratories มีแบบใดบ้าง ?
Pure Derima Laboratories (PDL) รับผลิตครีมกันแดดหลายรูปแบบ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ และเพื่อผลิตครีมกันแดดที่เหมาะสมกับทุกสภาพผิวของผู้บริโภค และเหมาะสมกับทุกประเภทการใช้งาน โดยรูปแบบการผลิตครีมกันแดดที่ Pure Derima Laboratories (PDL) มีทั้งหมด 6 รูปแบบ ดังนี้
1.ครีมกันแดดรูปแบบเนื้อเจล
- การผลิตครีมกันแดดรูปแบบเนื้อเจล เป็นการผลิตครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากครีมกันแดดประเภทอื่น ๆ เนื่องจากเป็นครีมกันแดดรูปแบบนี้จะมีเนื้อสัมผัสที่เบาและซึมซาบรวดเร็ว แห้งไว ทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่หนักผิวเมื่อทา เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน และผิวแบบธรรมดา
2.ครีมกันแดดรูปแบบเนื้อครีม
- การผลิตครีมกันแดดรูปแบบเนื้อครีม เป็นการผลิตครีมกันแดดที่มีเนื้อสัมผัสที่หนา และเข้มข้น มากกว่าการผลิตครีมกันแดดเนื้อเจล ทำให้ครีมกันแดดรูปแบบนี้ สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างยาวนานมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถบำรุงผิวและให้ความชุ่มชื้นได้ดี จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง และผู้ที่เล่นกีฬากลางแจ้ง เพราะสามารถทนต่อเหงื่อได้ดี
3.ครีมกันแดดรูปแบบผสมรองพื้น
- การผลิตครีมกันแดดผสมรองพื้น เป็นการผลิตครีมกันแดดที่ผสมทั้งครีมกันแดด และรองพื้นเข้าด้วยกัน ซึ่งครีมกันแดดรูปแบบนี้ จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นพร้อมกับปกป้อง และการดูแลผิวในขั้นตอนเดียว จึงมักได้รับความนิยมในผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย และมีความต้องการให้ผิวกันแดดพร้อมปกปิดรอยต่าง ๆ บนหน้า
4.ครีมกันแดดรูปแบบแท่ง
- การผลิตครีมกันแดดแบบแท่ง ได้รับความนิยมจากเจ้าของแบรนด์มากขึ้น เนื่องจากครีมกันแดดรูปแบบนี้ เป็นครีมกันแดดรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน เพราะเหมาะกับการพกพาไปได้ทุกที่ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนครีมกันแดดรูปแบบอื่น ๆ โดยจุดเด่นของครีมกันแดดรูปแบบแท่ง คือ สามารถทาทับเครื่องสำอางได้โดยไม่ทำให้เครื่องสำอางหลุดออก
5.ครีมกันแดดรูปแบบสเปรย์
- การผลิตครีมกันแดดรูปแบบสเปรย์ ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้ความนิยมมากขึ้นในหมู่เจ้าของแบรนด์ เพราะครีมกันแดดรูปแบบนี้ได้รับความใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการใช้งานที่สะดวกสบาย สามารถฉีดลงบนผิวได้เลย ไม่ต้องใช้มือหรือเครื่องมืออื่น ๆ เพิ่ม สามารถใช้งานง่ายระหว่างวัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจครีมกันแดดรูปแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
6.ครีมกันแดดเนื้อน้ำนม
- การผลิตครีมกันแดดเนื้อน้ำนม เป็นการผลิตครีมกันแดดที่ผสมระหว่างคุณสมบัติของเนื้อครีมกับเนื้อสัมผัสที่เบาบางเหมือนน้ำ ทำให้ครีมกันแดดรูปแบบนี้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทั้งการปกป้องจากแสงแดด และการบำรุงผิว
ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ?
ในปัจจุบันประเภทครีมกันแดดถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทมากขึ้น ซึ่งครีมกันแดดแต่ละประเภทนั้นมีคุณสมบัติ และวิธีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป การเข้าใจถึงคุณสมบัติ จุดเด่น จุดด้อยของประเภทครีมกันแดดต่าง ๆ จะช่วยให้การผลิตครีมกันแดดออกมา สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยประเภทครีมกันแดดในปัจจุบันสามารถแบ่งออกหลัก ๆ เป็น 3 ประเภท ดังนี้
- ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) เป็นผลิตครีมกันแดดโดยใช้สารเคมีเป็นส่วนประกอบหลัก ในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดผิวไหม้ ฝ้า กระ และริ้วรอย ซึ่งครีมกันแดดประเภทเคมีจะซึมเข้าสู่ผิวหนัง จะดูดซับรังสี UV แล้วพลังงานของรังสี UV จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานชนิดอื่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง
หลักการทำงานของครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทเคมีจะซึมเข้าสู่ผิวชั้นบนสุด (Epidermis)
- ครีมกันแดดประเภทเคมีจะดูดซับพลังงานจากรังสี UVA ที่ทำให้ลายคอลลาเจนและก่อให้เกิดริ้วรอย นอกจากนั้นยังช่วยดูดซับรังสี UVB ที่ทำให้ผิวไหม้แดดอีกด้วย
- ครีมกันแดดประเภทเคมีจะเปลี่ยนพลังงานจากแสงแดดที่เป็นอันตราย เป็นพลังงานความร้อนแล้วปล่อยออกจากผิว โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
คุณสมบัติของครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทเคมีมักมีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว
- ครีมกันแดดประเภทเคมีคุณสมบัติในการปกป้องได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB
สารที่มักใช้ในครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
สารที่มักใช้ในครีมกันแดดประเภทเคมี มักเป็นสารที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสี UV เพื่อปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV โดยสารเหล่านี้จะแบ่งออกเป็นสารที่ป้องกัน รังสี UVA และ รังสี UVB ดังนี้
1.สารป้องกันรังสี UVB ในครีมกันแดดประเภทเคมี
- Octinoxate (Ethylhexyl Methoxycinnamate)
- Homosalate
- Octisalate
- PABA (Para-Aminobenzoic Acid)
2.สารป้องกันรังสี UVA ในครีมกันแดดประเภทเคมี
- Avobenzone
- Tinosorb S
- Mexoryl SX
- Oxybenzone
- Ecamsule
3.สารที่ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ รังสี UVB
- Oxybenzone
- Homosalate
- Tinosorb M
ผู้บริโภคที่เหมาะกับครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- ผู้บริโภคที่ต้องการครีมกันแดดเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ
- ผู้บริโภคที่ต้องการครีมกันแดดที่สามารถใช้ร่วมกับการแต่งหน้าได้ดี ไม่ต้องการให้ครีมกันแดดทิ้งคราบขาว
- ผู้บริโภคที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสม
- ผู้บริโภคที่ต้องการครีมกันแดดในการใช้กลางแจ้ง ทนเหงื่อ ทนน้ำได้ดี
- ผู้บริโภคที่ต้องการครีมกันแดดที่ครอบคลุมทั้งรังสีUVA และ รังสี UVB
ข้อดีของครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- เนื้อสัมผัสบางเบา และไม่เหนียวเหนอะหนะ
- ไม่ทิ้งคราบขาวบนผิว
- ซึมเข้าสู่ผิวได้รวดเร็วกว่าครีมกันแดดประเภทอื่น
- เหมาะสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน
- เหมาะสำหรับการแต่งหน้า สามารถทาทับรองพื้นหรือเมคอัพได้
- ปกป้องรังสีได้ทั้ง UVA และ UVB
ข้อเสียของครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
- สารเคมีบางชนิดในครีมกันแดดประเภทเคมี อาจก่อให้เกิดการแพ้ หรือการระคายเคืองในผู้บริโภคบางรายได้ โดยเฉพาะในผู้บริโภคที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย
- สารเคมีบางชนิดในครีมกันแดดประเภทเคมี อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเล
- ครีมกันแดดประเภทเคมีบางรูปแบบไม่ค่อยทนทานต่อแสงแดด ผู้บริโภคจึงจำเป็นที่ต้องทาครีมกันแดดซ้ำบ่อย ๆ
- ครีมกันแดดประเภทเคมีอาจสะสมความร้อนบนผิว ทำให้ผู้บริโภคบางคนรู้สึกอุ่นหรือร้อนบนผิวหนังได้
ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) จะมีการทำงานที่แตกต่างจากการทำงานของประเภทครีมกันแดดแบบใช้สารเคมี (Chemical Sunscreen) ที่การผลิตครีมกันแดดประเภทนี้จะใช้แร่ธาตุเป็นส่วนประกอบ ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการสะท้อนหรือกระจายรังสีออกจากผิว ซึ่งครีมกันแดดประเภทนี้จะทำหน้าที่เหมือนโล่ป้องกัน ไม่ต้องดูดซึมรังสี UV เข้าผิวหนัง
หลักการทำงานของครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ทำหน้าที่โดยการสะท้อนรังสี UV ออกจากผิว ซึ่งรังสีที่ถูกสะท้อนจะกระจายไปในทิศทางอื่น ๆ ทำให้รังสี UV ไม่สามารถซึมลงผิวได้ โดยครีมกันแดดประเภทนี้ สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสี UV ได้โดยไม่ต้องใช้เวลานาน
คุณสมบัติของครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ป้องกันรังสี UV ได้โดยการสะท้อน และกระจายออกจากผิวไปในทิศทางต่าง ๆ ทำให้รังสี UV ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) สามารถป้องกันผิวได้ทันทีหลังทา ไม่จำเป็นต้องรอให้ครีมกันแดดซึมเข้าสู่ผิว
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ทนต่อเหงื่อและน้ำได้ดี
สารที่มักใช้ในครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) มักใช้สารแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนและกระจายรังสี UV ออกจากผิวหนัง โดยสารที่มักใช้ในครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล มีดังนี้
- Zinc Oxide (ซิงก์ออกไซด์) สามารถปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผิวเด็ก ปลอดภัย ไม่ระคายเคืองหรือแพ้
- Titanium Dioxide (ไทเทเนียมไดออกไซด์) ป้องกันรังสี UVB และบางส่วนของรังสี UVA เหมาะสำหรับผิวที่บอบบางหรือผิวเด็ก สามารถสะท้อนรังสี UV ออกจากผิวได้ทันที
ผู้บริโภคที่เหมาะกับครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เหมาะกับผู้บริโภคที่มีผิวแพ้ง่ายหรือบอบบาง
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เหมาะกับผู้บริโภคที่มีผิวบอบบางหรือผิวเด็ก
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เหมาะกับผู้บริโภคที่กังวลเรื่องการสะสมของสารเคมีในผิว
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการการปกป้องทันทีจากแสงแดด
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการปกป้องจากทั้ง UVA และ UVB
ข้อดีของครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) สามารถปกป้องผิวได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ซึม
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ จึงเหมาะกับผู้บริโภคที่มีผิวบอบบางด้วย
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ไม่ก่อให้เกิดการสะสมในผิว
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดริ้วรอยได้
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ทนทานต่อเหงื่อและน้ำ
ข้อเสียของครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ใช้ต้นทุนในการผลิตสูง
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) อาจมีคราบขาวบนผิว
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ทนทานต่อเหงื่อและน้ำ น้อยกว่าครีมกันแดดประเภทเคมี
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ใช้กับเครื่องสำอางได้ยาากว่า
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) มีต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากส่วนผสมมีราคาแพง
ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) เป็นการผลิตครีมกันแดดที่เป็นการรวมคุณสมบัติของครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) และครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อลดข้อด้อยและเพิ่มข้อดีจากทั้งสองประเภท ทำให้การผลิตครีมกันแดดประเภทนี้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีขึ้นและเหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย
หลักการทำงานของครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) จะใช้สารเคมีในการช่วยซับรังสี UV ที่สารฟิสิคอลไม่สามารถป้องกันได้สมบรูณ์ ขณะเดียวกันสารฟิสิคอลจะช่วยเสริมความเสถียรของสูตร และลดผลข้างเคียงจากสารเคมีได้ โดยการผสมผสานครีมกันแดดทั้งสองประเภท จะช่วยให้ได้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
คุณสมบัติของครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) สามารถปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) มีเนื้อสัมผัสที่เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) สูตรมีความเสถียรและทนทานสูง
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ปลอดภัยต่อผิว และลดการระคายเคือง
สารที่มักใช้ในครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) จะใช้สารทั้งประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) และประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) จะใช้สาร ดังนี้
- Zinc Oxide (ซิงค์ออกไซด์)
- Titanium Dioxide (ไทเทเนียมไดออกไซด์)
- Avobenzone (อาโวเบนโซน)
- Octinoxate (อ็อกติโนเซต)
- Homosalate (โฮโมซาเลต)
- Octocrylene (อ็อกโตคริลีน)
- Oxybenzone (ออกซีเบนโซน)
ผู้บริโภคที่เหมาะกับครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ผู้บริโภคที่ต้องการการปกป้องรังสี UV ทั้งสองประเภท UVA และ UVB
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ผู้บริโภคที่มีผิวแพ้ง่ายหรือบอบบาง
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ผู้บริโภคที่ไม่ชอบคราบขาวจากครีมกันแดดฟิสิคอล
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ผู้บริโภคที่มีกิจกรรมกลางแจ้งหรือใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีแสงแดดแรง
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ผู้บริโภคที่การเนื้อสัมผัสที่เบาบางและทาได้ง่าย
ข้อดีของครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) มีข้อดีหลายอย่าง เนื่องจากเป็นการผสมผสานข้อดีระหว่างครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) และครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ทำให้เกิดความสมดุลในการป้องกันผิว เนื้อสัมผัส และความปลอดภัยสูงขึ้น โดยครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) มีข้อดี ดังนี้
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ช่วยป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งบางสูตรยังสามารถป้องกันรังสี HEV (High Energy Visible Light) และ อินฟราเรด (IR) ได้อีกด้วย
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ลดปัญหาคราบขาวบนผิว
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ลดความเสี่ยงจากการระคายเคือง เนื่องจากมีการผสมของทั้งสองประเภท
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ทนต่อเหงื่อและน้ำ
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) มีประสิทธิภาพสูงและปกป้องผิวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อเสียของครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) มีต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องใช้ทั้งสารกันแดดเคมี (Chemical Filters) และสารกันแดดฟิสิคอล (Physical Filters)
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในบางบุคคล
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) เนื้อสัมผัสอาจไม่บางเบาเท่ากับครีมกันแดดประเภทเคมี
- ครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ราคาจำหน่ายสูงกว่าครีมกันแดดทั่วไป
ครีมกันแดดมีกี่ประเภท
ครีมกันแดดแต่ละประเภทแตกต่างกันยังไง ?
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) และครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) มีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ โดยความแตกต่างหลัก ๆ ของครีมกันแดดสองประเภทนี้จะมีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
- กลไกการปกป้องผิวจากรังสี UV
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical
Sunscreen) จะปกป้องผิวด้วยการเปลี่ยนรังสี UV เป็นพลังงานความร้อนแล้วปล่อยออกจากผิว ในขณะที่ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) จะปกป้องผิวผ่านการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ออกจากผิวไป
- เนื้อสัมผัสและความสบายขณะการใช้งาน
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) มักมีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว ต่างจากครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) จะให้เนื้อครีมที่หนักกว่า และมักทิ้งคราบขาวบนผิว โดยเฉพาะในผู้บริโภคที่มีผิวสีเข้ม
- ความเหมาะสมกับผิว และความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) มักไม่เกิดการระคายเคืองในผิวแพ้ง่าย และสารเคมีบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่างจากครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ที่มีความอ่อนโยนกว่า และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ซึ่งครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่รวมข้อดีและปรับปรุงข้อเสียของทั้งสองประเภท ทำให้ครีมกันแดดที่ได้มีคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ครีมกันแดดแบบ Physical และ Chemical อันไหนป้องกันรังสี UV ได้ดีกว่ากัน ?
การเปรียบเทียบการป้องกันรังสี UV ระหว่างครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) และครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) มีคุณสมบัติที่ป้องกันได้ดีแตกต่างกันออกไปขึ้นได้อยู่กับหลายปัจจัย โดยทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี UV เปลี่ยนเป็นความร้อนออกจากผิว และในบางสูตรสามารถป้องกันได้ดีทั้งรังสี UVA และ UVB และป้องกันได้ดีมากในช่วงคลื่น UBV ที่ทำให้ผิวไหม้แดด
- ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ปกป้องผิวได้ทันทีด้วยการสะท้อนและกระจายรังสี ไม่ต้องรอให้ซึมเข้าผิว ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB แต่อาจไม่สามารถป้องกันบางคลื่นของรังสี UV ได้ดีเท่ากับครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen)
สรุปได้ว่าหากแบรนด์ต้องการผลิตครีมกันแดดที่สามารถ ป้องกันผิวจากรังสี UV ได้ทันที และมีความอ่อนโยนการเลือกผลิตครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) ถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ในขณะที่หากต้องการผลิตครีมกันแดดที่ป้องกันรังสี UV ได้หลากหลาย การผลิตครีมกันแดดประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) เพื่อจัดจำหน่ายอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ถ้าหากต้องการการป้องกันผิวทั้งสองแบบรวมกัน แบรนด์สามารถพัฒนาสูตรเป็นแบบครีมกันแดดประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ได้เช่นเดียวกัน
ครีมกันแดดมีกี่รูปแบบ ? ต้องเลือกผลิตครีมกันแดด รูปแบบไหนดีที่สุด
การผลิตครีมกันแดด เพื่อจัดจำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบัน มีหลายรูปแบบที่ถูกผลิตออกมา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยการผลิตครีมกันแดดแต่ละรูปแบบมีเนื้อสัมผัส ความเหมาะสมของแต่ละบุคคล รวมถึงข้อดี และข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการผลิตครีมกันแดดสามารถได้หลายรูปแบบ เช่น ผลิตครีมกันแดดรูปแบบเจล , ผลิตครีมกันแดดรูปแบบสเปรย์ หรือผลิตครีมกันแดดรูปแบบแท่ง เป็นต้น
ซึ่งการเลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดมีหลายปัจจัย ที่เจ้าของแบรนด์ต้องคำนึงถึง เพื่อให้ครีมกันแดดที่ผลิตออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด โดยเจ้าของแบรนด์สามารถพิจารณา เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก อายุ ไลฟ์สไตล์ สภาพผิวของกลุ่มเป้าหมาย
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก ลักษณะการใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก เนื้อสัมผัสและรูปแบบของผลิตภัณฑ์
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก ความเหมาะสมกับส่วนผสม
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก ข้อกฎหมาย และมาตรฐานความปลอดภัย
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก ต้นทุนการผลิตที่ตั้งไว้
- เลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดจาก การตลาด และความต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นการเลือกรูปแบบของครีมกันแดดไม่สามารถสรุปได้โดยตรงว่า การผลิตครีมกันแดดรูปแบบใดดีที่สุด แต่สามารถพิจารณาเลือกได้จากปัจจัยต่าง ๆ เพื่อเลือกรูปแบบครีมกันแดดให้เหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
ครีมกันแดดสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทเคมี (Chemical Sunscreen) , ประเภทฟิสิคอล (Physical Sunscreen) และประเภทประเภทไฮบริด (Hybrid Sunscreen) ที่ผสมการทำงานของครีมกันแดดของสองประเภทเข้าด้วยกัน ซึ่งการทำงานของครีมกันแดดแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันหลายประการ อีกทั้งยังมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้การผลิตครีมกันแดดยังสามารถผลิตได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เจ้าของแบรนด์ที่ต้องการผลิตครีมกันแดดเพื่อจัดจำหน่าย จำเป็นจะต้องเลือกผลิตครีมกันแดดประเภทที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และเลือกรูปแบบการผลิตครีมกันแดดให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคอีกด้วย
เจ้าของแบรนด์ท่านใดที่กำลังมองหาโรงงานผลิตครีมกันแดดแบบครบวงจร สามารถเข้ามาปรึกษา และวางแผนการผลิตครีมกันแดดได้ ที่ Pure Derima Laboratories (PDL) โรงงานผลิตครีมกันแดดที่มีประสบการณ์การผลิตกว่า 10 ปี ในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้แบรนด์ดังมากกว่า 1,000 แบรนด์ ด้วยมาตรฐานการผลิตครีมกันแดดระดับสากล อีกทั้งยังรองรับการผลิตครีมกันแดดหลากหลายรูป พร้อมบริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นจนพร้อมสู่การจัดจำหน่าย