ทำความรู้จักกับ AHA สารสกัดยอดนิยมที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อผิว

AHA
AHA คืออะไร?

ถ้าพูดถึงสารสกัดที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคงจะต้องมีชื่อสารสกัดยอดนิยมอย่าง AHA อยู่ในลิสต์แน่นอน เพราะ AHA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ออกฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก พร้อมฟื้นฟูผิวให้ดูกระจ่างใส อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติที่รอบด้านแบบนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่กรด AHA จะเป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่ม Whitening 



ทำความรู้จัก AHA กรดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

AHA ย่อมาจาก Alpha Hydroxy Acids เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด โดยสามารถสกัดได้จากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากการหมักของนม อาทิ ส้ม, แอปเปิล, มะขาม, โยเกิร์ต หรือเนยแข็ง เป็นต้น กรด AHA ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอาง เพราะมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดความหมองคล้ำบนใบหน้า อีกทั้งยังสามารถลดเลือนริ้วรอยและติ่งเนื้อขนาดเล็กได้

นอกจากนี้ AHA เป็นกรดผลไม้ที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำ AHA มาเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือการนำ AHA มาช่วยให้ยากระจายตัวได้ดีขึ้น ดังนั้น AHA จึงเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์และสามารถนำมาใช้งานได้อย่างหลากหลาย แต่หนึ่งในประโยชน์ที่โดดเด่นที่สุดของ AHA คือการนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั่นเอง


AHA มีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไรบ้าง? 

ประเภทของ AHA

หลายคนรู้กันแล้วว่ากรด AHA คือสารสกัดจากธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว กรด AHA นั้นยังสามารถแบ่งออกไปเป็นอีกหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและแหล่งที่สามารถพบได้แตกต่างกันออกไป โดยเราสามารถแบ่งกรด AHA ออกเป็น 5 ประเภทดังต่อไปนี้

1. Citric Acid (กรดซิตริก) เป็นประเภทของ AHA ที่ได้รับความนิยมในการนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เพราะกรดซิตริกสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและช่วยปรับสมดุลค่า PH บนผิวได้

2. Lactic Acid (กรดแลคติก) เป็นกรด AHA ที่มักพบได้ในผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการหมักของแบคทีเรีย โดยกรดแลคติกมีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นและยังชะลอการเสื่อมของสภาพเซลล์ผิวได้อีกด้วย 

3. Glycolic Acid (กรดไกลโคลิก) เป็นกรด AHA ที่มีอนุภาคขนาดเล็กจึงสามารถซึมลึกเข้าสู่ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี โดยกรดไกลโคลิคนั้นมีคุณสมบัติช่วยแก้ไขปัญหาผิวหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยสิว จุดด่างดำ รวมไปถึงฝ้า กระ ดูจางลงได้อีกด้วย

4. Tartaric Acid (กรดทาร์ทาริก) เป็นกรด AHA ที่ช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิว นอกจากนี้ กรดทาร์ทาริกยังมีคุณสมบัติเด่นในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการดูดซับรังสี UV ไม่ให้ลงไปสู่ชั้นผิวได้ ดังนั้น กรดทาร์ทาริกจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอกบางแพ้ง่ายและผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย

5. Malic Acid (กรดมาลิก) เป็นกรด AHA ที่มีฤทธิ์เสริมการทำงานกับกรด AHA ประเภทอื่น ๆ โดยกรดมาลิกมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ อีกทั้งยังสามารถรักษาสิวเสี้ยนและลดรอยฝ้า กระ ให้จางลงได้


AHA สกัดจากอะไรได้บ้าง?

ได้รู้จักคุณสมบัติของ AHA แต่ละประเภทกันไปแล้ว เรามาดูที่มาของ AHA แต่ละชนิดกันดีกว่าว่าจะสามารถสกัดจากผลไม้ชนิดใดได้บ้าง จะมีผลไม้ใกล้ตัวเราหรือไม่ ไปติดตามกันได้เลย!

  • กรดซิตริก (Citric Acid) สกัดได้จากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อาทิ มะนาว, ส้ม, ส้มโอ, สับปะรด และมะขาม
  • กรดแลคติก (Lactic Acid) พบได้ในผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการหมักของแบคทีเรีย เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง และนมเปรี้ยว
  • กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) สกัดได้จากพืชที่สร้างน้ำตาล อาทิ อ้อย สับปะรด หรือต้นบีท 
  • กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) พบมากในพืชหลายชนิด อาทิ มะขาม และองุ่น โดยเป็นกรดหลัก ๆ ที่ใช้ในการหมักไวน์
  • กรดมาลิก (Malic Acid) สกัดได้จากผลไม้ อาทิ แอปริคอต แอปเปิล หรือลูกแพร์ เป็นต้น

AHA กับประโยชน์ที่มีมากกว่าการช่วยผลัดเซลล์ผิว

ประโยชน์ของ AHA

การช่วยผลัดเซลล์ผิว เป็นประโยชน์ของกรด AHA ที่หลายคนทราบกันเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว AHA มีประโยชน์มากกว่าการช่วยผลัดเซลล์ผิว โดย AHA มีประโยชน์ดังต่อไปนี้

  • ผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ หนึ่งในประโยชน์กรดผลไม้ หรือ AHA คือการช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด แต่นอกจาก AHA จะผลัดเซลล์ผิวได้แล้ว ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังได้ AHA จึงเป็นตัวช่วยเพิ่มความเรียบเนียนอีกด้วย
  • ลดการอุดตันของรูขุมขน เมื่อเซลล์ผิวเก่าถูกผลัดออกไป การสะสมของสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวเก่าที่อยู่ในบริเวณรูขุมขนก็จะลดลง ซึ่งความสกปรกรวมถึงเซลล์ผิวเก่าในรูขุมขนเป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาสิว ดังนั้น โทนเนอร์ AHA หรือครีม AHA จึงสามารถช่วยสาเหตุของการเกิดสิวได้
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เพราะ AHA บางประเภทมีสารต้นอนุมูลอิสระ และยังเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวจึงช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง
  • ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ เผยผิวขาวกระจ่างใส นอกจากการผลัดเซลล์ผิวจะช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาจุดด่างดำ ฝ้า และกระ ได้อีกด้วย เพราะเซลล์ผิวใหม่ที่มาแทนที่เซลล์ผิวเก่าจะมีความกระจ่างใสและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น

AHA และ BHA ต่างกันอย่างไร เช็กให้ชัวร์ก่อนใช้

BHA หรือ Beta Hydroxy Acid เป็นสารสังเคราะห์จากธรรมชาติที่ออกฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เช่นเดียวกันกับ AHA ซึ่ง BHA ที่มักจะพบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าคือ Salicylic Acid (กรดซาลิซิลิก) ที่สามารถสกัดได้จากต้นหลิวจีน โดย BHA นั้นเป็นกรดอ่อนที่มีคุณสมบัติเด่นคือการละลายได้ดีในน้ำมัน BHA จึงสามารถทำความสะอาดและช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดีกว่า AHA ที่ไม่สามารถละลายได้ 

โดยสรุปแล้ว ทั้ง AHA และ BHA คือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ ดังนั้น สกินแคร์ที่มี BHA กับ AHA จึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำได้เช่นเดียวกัน แต่ BHA จะสามารถเข้าไปทำความสะอาดรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก จึงช่วยลดความมันบนในหน้าได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง ส่วน AHA นั้นมีจุดเด่นในการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ 


AHA เหมาะกับใครบ้าง?

ใครสามารถใช้ AHA ได้บ้าง?

เนื่องจาก AHA เป็นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติทำให้มีความอ่อนโยนเหมาะกับผิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวบอบบางแพ้ง่าย แต่ถ้าหากต้องการจะจำแนกตามประเภทของปัญหาผิว AHA จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวคล้ำเสีย ไม่สม่ำเสมอ รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
  • ผู้ที่มีริ้วรอยขนาดเล็ก และต้องการให้ริ้วรอยแลดูจางลง
  • ผู้ที่มีผิวระคายเคืองได้ง่าย เพราะ AHA บางชนิดมีความอ่อนโยนและช่วยเสริมความชุ่มชื้นได้
  • ผู้ที่มีผิวแห้งเสีย เพราะ AHA จะช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิวดูสุขภาพดี

5 ข้อควรรู้ก่อนการเริ่มใช้ AHA

ผลข้างเคียงของการใช้ AHA

ถึงแม้ว่า AHA จะเป็นสารสกัดที่มีประโยชน์และสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้ แต่เนื่องจาก AHA นั้นออกฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้น หากใช้งานอย่างไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือมีอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ โดยข้อควรรู้และวิธีใช้ AHA ที่ถูกต้องมีดังต่อไปนี้

  1. ควรใช้ AHA ในปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม โดยความเข้มข้นโดยรวมของ AHA ไม่ควรเกิน 10% เพราะจะทำให้เกิดอาการคัน มีรอยแดง รวมไปถึงทำให้ผิวระคายเคืองได้
  2. ผิวแห้ง แสบ แดง เป็นผลข้างเคียงของการใช้ AHA เนื่องจาก AHA นั้นออกฤทธิ์เป็นกรด จึงทำให้มีอาการแสบ ผิวแห้ง แต่ถ้าอาการมีความรุนแรงให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ AHA และรีบพบแพทย์ผิวหนังทันที
  3. เมื่อใช้ AHA แล้ว ควรหลีกเลี่ยงแสดงแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ เนื่องหากใช้ครีมทาผิว AHA ผิวก็จะไวต่อแสง หากโดนแดดแรงเป็นเวลานานหรือไม่ได้ทาครีมกันแดด อาจทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดปัญหาฝ้า-กระได้
  4. ไม่ควรใช้ AHA ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน C เพราะสารสกัดทั้งสองชนิดมีฤทธิ์เป็นกรด หากใช้ร่วมกันอาจจะทำให้ผิวเสียสมดุลได้
  5. ไม่ควรใช้ AHA ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol เนื่องจากทั้ง Retinol และ AHA ล้วนมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว ดังนั้น หากใช้ร่วมกันอาจจะทำให้ผิวบางและไวต่อแสงมากขึ้น

สรุป AHA กรดจากธรรมชาติช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่ต้องเลือกใช้ให้ถูกวิธี

AHA เป็นกรดที่สามารถสกัดได้จากผลไม้รสเปรี้ยว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากการหมักของนม ถึงแม้ AHA จะมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ในการดูแลผิวหน้า แต่ถ้าหากใช้ AHA อย่างไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้ปัญหาผิวเดิมที่มีอยู่ไม่ถูกแก้ไข ซ้ำยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาผิวเพิ่มเติมได้ ดังนั้น การใช้ AHA ที่ถูกต้องจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาผิว

อ่านมาจนถึงตรงนี้ ใครที่สนใจผลิตเครื่องสำอาง AHA หรือต้องการสร้างแบรนด์ตัวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะหาโรงงานผลิตครีมได้จากที่ไหน Pure Derima Laboratories ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐาน การันตีด้วยมาตรฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น GMP การปฏิบัติที่ดีในการผลิต หรือมาตรฐาน IOS 22716 : 2007 นอกจากนี้ โรงงาน Pure Derima Laboratories ยังเป็นโรงงาน OEM ที่ให้บริการครบวงจร เริ่มตั้งแต่การคิดค้นพัฒนาสูตรไปจนถึงการให้คำปรึกษาด้านการตลาด หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อโรงงาน Pure Derima Laboratories ได้ที่

  • Facebook page: Pure Derima Laboratories
  • Website: Pure Derima Laboratories
  • Tel: 02-285-4266 และ 061-656-1449
  • Line: @PureDerima
  • IG: PureDerima

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *