ปัจจุบัน ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะสกินแคร์ โทนเนอร์ หรือโฟมล้างหน้ามักมีส่วนผสมอย่าง AHA และ BHA อยู่ และยังเป็นส่วนผสมยอดฮิตที่มักจะถูกกล่าวถึงในหัวข้อของการรักษาสิว ช่วยให้ผิวหน้าใสอีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะอยากทราบว่า AHA BHA คือส่วนผสมประเภทอะไร ทำหน้าที่อย่างไรในการให้ประโยชน์กับผิว ทำไมสกินแคร์ส่วนใหญ่ถึงได้เลือกใส่ส่วนผสมนี้
บทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ AHA และ BHA พร้อมทั้งอธิบายถึงข้อแตกต่างของส่วนผสมทั้งสองชนิด บอกประโยชน์ข้อดี รวมถึงแนะนำวิธีการใช้ AHA กับ BHA กัน หากพร้อมแล้ว สามารถอ่านได้ด้านล่างนี้เลย!
ทำความรู้จัก AHA BHA คืออะไร?
AHA BHA คืออะไร? ส่วนผสม BHA AHA คือสารประกอบประเภท Active Ingredient ที่มีฤทธิ์เป็นกรด จึงสามารถทำหน้าที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ดี และยังช่วยในการปรับสภาพผิวให้อยู่ในค่า pH ที่เหมาะสม โดยทั้งสองชนิดจะถูกสกัดออกมาจากต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่หลักไม่เหมือนกัน รวมถึงจะมีชื่อเรียกเฉพาะแต่ละแบบขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดที่ได้ทำการสกัดมา ซึ่งเราจะยกตัวอย่างชื่อสารประกอบที่เป็น AHA และ BHA เผื่อไว้สังเกตในผลิตภัณฑ์กันดังนี้
AHA
AHA ย่อมาจาก Alpha Hydroxy Acid เป็นสารออกฤทธิ์เป็นกรดที่สามารถสกัดได้จากธรรมชาติ สามารถพบเห็นต้นกำเนิดของสารประกอบได้ทั่วไป เช่น สกัดจากผักผลไม้อย่างองุ่น, แอปเปิล, มะนาว, อ้อย จนถึงนมเปรี้ยว สารประกอบนี้สามารถละลายได้ในน้ำ โดยประโยชน์หลัก ๆ ของ AHA คือกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยสร้างผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวมีความกระจ่างใส เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และบรรเทารอยดำรอยแดงจากสิว
ตัวอย่างชื่อของสารประกอบ AHA ได้แก่ กรดซิตริค (Citric Acid), กรดมาลิก (Malic Acid), กรดแลคติค (Lactic Acid), กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) เป็นต้น
BHA
BHA ย่อมาจาก Beta Hydroxy Acid เป็นสารออกฤทธิ์เป็นกรด และสามารถสกัดได้จากเปลือกต้นหลิวจีน ซึ่ง BHA มีคุณสมบัติคือสามารถละลายได้ในน้ำมัน จีงมักถูกใช้ในการควบคุมความมัน และการทำความสะอาดผิว รวมถึงสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวได้เช่นกัน
ตัวอย่างชื่อของสารประกอบ BHA มักจะรู้จักกันในชื่อของกรดซาลิซิลิก (Salicilic Acid)
AHA BHA มีความแตกต่างกันยังไง?
ทั้ง AHA BHA คือสารประกอบที่เป็นกรดเหมือนกัน ผลักเซลล์ผิวได้เหมือนกัน แล้ว AHA กับ BHA ต่างกันยังไง? ความแตกต่างของสารประกอบ AHA และ BHA คือ AHA สามารถละลายได้ในน้ำ ส่วน BHA ละลายได้ดีในไขมัน
ประโยชน์หน้าที่หลัก ๆ ในการดูแลผิว และความเหมาะสมกับผิวก็แตกต่างกันอีกด้วย เพราะ AHA จะเน้นไปที่การผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า ทำให้ผิวกระจ่างใสเรียบเนียน ในขณะที่ BHA จะเน้นการทำความสะอาดรูขุมขนและลดการอักเสบของผิว
AHA BHA เหมาะกับใครบ้าง?
เนื่องจาก AHA BHA คือส่วนผสมซึ่งมีความสามารถในการละลายและหน้าที่ในการรักษาผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากต้องการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA จึงต้องคำนึงถึงสภาพผิวว่าเหมาะกับสารประกอบแต่ละตัวหรือไม่
โดย AHA จะเป็นกรดผลไม้ ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด เหมาะกับผิวแห้ง ในขณะที่ BHA สามารถทำหน้าที่ควบคุมความมันได้ดี ละลายได้ในน้ำมัน จึงสามารถทำความสะอาดรูขุมขนในชั้นลึกได้ BHA จึงเหมาะกับผิวมัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัญหาสิว, รอยดำรอยแดง, ผิวมัน, ผิวเสียจากแสงแดด, มีริ้วรอย ต้องการให้ใบหน้ากระจ่างใสและต้องการทำความสะอาดผิว ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ได้
ประโยชน์ของ AHA BHA คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาผิวอย่างไร?
หากใครที่สงสัยว่า AHA BHA ช่วยอะไร มีการบำรุงผิวและรักษาสิวได้อย่างไร มาดูประโยชน์ของ AHA และ BHA กันว่ามีอะไรบ้าง ดังนี้
ประโยชน์ของ AHA
- เป็นกรดผลไม้ จึงช่วยในการผลัดเซลล์ผิว
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
- ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน
- ลดริ้วรอย
- ลดรอยแดงรอยดำ
- ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด
ประโยชน์ของ BHA
- ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงสามารถทำความสะอาดรูขุมขนได้ล้ำลึก
- ผลัดเซลล์ผิวชั้นใน
- ลดการอักเสบจากสิว
- ลดการเกิดสิวอุดตัน
- ปลอบประโลมผิวจากการระคายเคือง
- กระชับรูขุมขน
- ควบคุมความมันบนใบหน้า
จะเห็นได้ว่า AHA กับ BHA มีหน้าที่ที่คล้ายกันนั่นคือการผลัดเซลล์ผิว ต่างกันตรงที่ AHA จะผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ในขณะที่ BHA ผลัดเซลล์ผิวถึงรูขุมขน และ BHA ยังเน้นไปที่การปลอบประโลมผิว ทำความสะอาด และลดการอักเสบมากกว่าการเน้นให้ผิวมีความเรียบเนียนกระจ่างใสอีกด้วย
AHA BHA มีข้อควรระวังในการใช้อย่างไร?
เนื่องจาก AHA BHA คือสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นจึงมีข้อควรระวังบางประการที่ต้องคำนึงในการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA เพราะการใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดในปริมาณหรือความเข้มข้นที่มากเกินไป อาจจะทำให้ผิวอ่อนแอลงได้ โดยข้อควรระวังในการใช้ AHA และ BHA มีดังนี้
- ไม่ควรนำ AHA กับ BHA ความเข้มข้นสูงมาใช้พร้อมกัน ควรใช้ทีละชนิดในการลงสกินแคร์ เช่น BHA ใช้ตอนเช้า และใช้ AHA ตอนเย็นหรือก่อนนอน หรือสลับวันใช้
- ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป
- ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีการใช้ BHA หรือ AHA เพราะผิวหน้าจะไวต่อแสงแดด
- การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสม AHA ไม่ควรมีความเข้มข้นมากกว่า 10%
- การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสม BHA ไม่ควรมีความเข้มข้นมากกว่า 3%
- ไม่ควรใช้ AHA กับ BHA ร่วมกับกลุ่มอนุพันธ์วิตามิน A หรือเรตินอลเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
AHA BHA สามารถใช้ด้วยกันได้ไหม?
นอกจากข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA แล้ว การใช้ส่วนผสมทั้งสองชนิดนี้ที่มีความเข้าข้นสูงพร้อมกันก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจาก AHA และ BHA มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งคู่ และทำหน้าที่คล้ายกันคือการผลัดเซลล์ผิว แต่ AHA จะผลัดผิวชั้นนอก ในขณะที่ BHA ผลัดผิวถึงรูขุมขน หากใช้พร้อมกันอาจส่งผลให้ผิวหน้าแห้งหรือลอกได้
หากมีการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA จึงควรที่จะสลับวันใช้ หรือใช้ทีละชนิดในตอนเช้า และก่อนนอน อย่างไรก็ตาม AHA และ BHA คือสารที่จะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางคืน ดังนั้น การสลับวันใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารทั้งสองชนิดนี้จึงตอบโจทย์กับผิวมากกว่า
AHA BHA มักจะผสมอยู่ผลิตภัณฑ์ประเภทใดบ้าง?
ปัจจุบันสามารถพบผลิตภัณฑ์หรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA ได้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์บำรุงผิว หรือทำความสะอาดผิว โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มักผสม AHA BHA คือผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้
- โทนเนอร์
- เซรั่ม
- โฟมล้างหน้า
- คลีนซิ่งทำความสะอาดผิว
- ครีมบำรุงผิวหน้า
สรุป AHA BHA คืออะไร แนะนำแหล่งผลิตสกินแคร์จาก AHA และ BHA
AHA BHA คือส่วนประกอบมีฤทธิ์เป็นกรดที่ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เนื่องจากทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ปรับผิวให้กระจ่างใส เรียบเนียน และ BHA ยังช่วยในการลดการอักเสบจากสิว ทำความสะอาดรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก จึงเป็นส่วนผสมที่เหมาะแก่การรักษาสิว และทำให้ใบหน้าดูขาวใสขึ้น
ในปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์มากมายที่มีการใส่สารประกอบ AHA และ BHA เพื่อใช้เป็นจุดขายในการรักษาผิวจากปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวคล้ำจากแสงแดด หรือผู้ที่มีปัญหาสิว รอยสิวต่าง ๆ
สำหรับใครที่กำลังสนใจการทำธุรกิจเครื่องสำอางและต้องการสร้างแบรนด์ตัวเอง เราขอแนะนำโรงงาน Pure Derima Laboratories โรงงาน OEM รับผลิตผลิตภัณฑ์ความงามแบบครบวงจร ได้การรับรองมาตรฐานจาก ISO, GMP, MSDS และฮาลาล พร้อมให้คำปรึกษาด้านการผลิตจากผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ จนไปถึงการออกแบบแพ็คเกจ โลโก้ บรรจุภัณฑ์ และช่วยวางแผนการตลาดแบบครบจบในที่เดียว ให้แบรนด์ของคุณสร้างความน่าสนใจ พร้อมที่จะออกสู่ตลาดได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น
ช่องทางการติดต่อโรงงานผลิตครีม Pure Derima Laboratories :
- Facebook page : Pure Derima Laboratories
- Website : Pure Derima Laboratories
- Tel : 02-285-4266 และ 061-656-1449
- Line : @PureDerima
- IG : PureDerima